หัวข้อ : สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและสัญญาจะซื้อขายแตกต่างกันอย่างไร?
สัญญาซื้อขายเป็นเอกเทศสัญญาประเภทหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ซึ่งเอกเทศสัญญา คือ สัญญาที่กฎหมายกำหนดชื่อและหลักเกณฑ์ไว้เป็นเอกเทศหรือไว้โดยเฉพาะ 1 โดยทั่วไป ถือว่าสัญญาซื้อขาย มี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ซึ่งรวมทั้งสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดแบบมีเงื่อนไขหรือแบบมีเงื่อนเวลา และสัญญาจะซื้อจะขายอีกประเภทหนึ่ง
การทราบลักษณะสำคัญของสัญญาและแยกแยะสััญญาซื้อขายแต่ละประเภทที่กล่าวมาข้างต้น ถือว่ามีความจำเป็นพอสมควรเพราะว่า สัญญาซื้อขายมีหลายประเภท ซึ่งกฎหมายได้กำหนดชื่อและผลของสัญญาแต่ละประเภทไว้แตกต่างกัน
สัญญาซื้อขายแต่ละประเภทต้องทำตามแบบหรือมีหลักฐานของข้อตกลงตลอดจนก่อให้เกิดพันธะแก่คู่กรณีในทางที่แตกต่างกันไป
แต่ปัญหามีอยู่ว่ากฎหมายไทยไม่ได้มีบทบัญญัติชัดเจนถึงประเภทของสัญญาซื้อขายแต่ละประเภทเพียงแต่กล่าวถึงโดยไม่ได้ให้ความหมายและลักษณะเอาไว้ให้ชัดเจน2
ปัญหาเรื่องชื่อหรือประเภทของสัญญาซื้อขายจึงทำให้เกิดปัญหาในทางปฎิบัติไม่น้อย
เนื่องจากมีคดีเป็นอันมากที่ฟ้องร้องกันว่าเป็นเรื่องสัญญาจะซื้อขายแต่ศาลวินิจฉัยว่าเป็นสัญญาเสร็จเด็ดขาดผลของสัญญาจึงเป็นไปอีกทางหนึ่ง
ในทางกลับกันบางเรื่องก็ฟ้องกันว่าเป็นสัญญาจะซื้อขายแต่ศาลวินิจฉัยว่าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
ดังนี้เป็นต้น บางกรณีที่คู่สัญญาไม่มีความเข้าใจเรื่องผลของสัญญาแต่ละประเภท จึงระบุชื่อสัญญาสลับกันไว้ในหนังสือสัญญา เช่น การกระทำของคู่กรณีบ่งบอกว่าตั้งใจจะทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แต่กลับระบุชื่อสัญญาเป็นสัญจะซื้อขาย กรณีแบบนี้นี้เมื่อมีคดีความฟ้องร้องกันขึ้นสู่ศาล ศาลจะไม่ดูชื่อสัญญาเป็นสำคัญแต่ศาลจะดูที่เจตนาของคู่กรณีเป็นสำคัญว่าเจตนาแห่งการกระทำหรือตกลงกันระหว่างคู่สัญญานั้นบ่งบอกว่าสัญญาที่เกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาเป็นสัญญาประเภทใดกันแน่
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการเข้าใจถึงลักษณะสำคัญของสัญญาซื้อขายแต่ละประเภทจึงถือว่าทำคัญมาก เพราะหากไม่เข้าใจลักษณะของสัญญาซื้อขายแต่ะประเภทอย่างแท้จริงอาจทำให้สูญเสียเจตนารมณ์ที่แท้จริงของการทำสัญญานั้นไปด้วยก็เป็นได้
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการเข้าใจถึงลักษณะสำคัญของสัญญาซื้อขายแต่ละประเภทจึงถือว่าทำคัญมาก เพราะหากไม่เข้าใจลักษณะของสัญญาซื้อขายแต่ะประเภทอย่างแท้จริงอาจทำให้สูญเสียเจตนารมณ์ที่แท้จริงของการทำสัญญานั้นไปด้วยก็เป็นได้
เนื่องจากว่า
สัญญาซื้อขายถือเป็นสัญญาที่ใกล้ตัวและอาจเกิดขึ้นบ่อยครั้งในชีวิตประจำวันของเราทุกคน
เช่น
การซื้อขายข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในแต่ละวันก็ถือเป็นการทำสัญญาซื้อขายขึ้นแล้ว
ดังนั้นการพิจารณาความใกล้เคียงและความแตกต่างของสัญญาซื้อขายแต่ละประเภทเพื่อเป็นแนวทางให้ทราบถึงลักษณะของสัญญาซื้อขายแต่ละประเภทได้เด่นชัดขึ้นนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีประโยชน์ไม่น้อย
เพราะ
เราสามารถนำเกร็ดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายเรื่องนี้ไปใช้กับชีวิตประจำวันได้จริงเมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
บทบัญญัติกฎหมายที่สำคัญในการบรรยายเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและสัญญาจะซื้อจะขายคือ
มาตรา
453
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
อันว่าซื้อขายนั้น
คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง
เรียกว่าผู้ขาย
โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง
เรียกว่า ผู้ซื้อ
และผู้ซื้อตกลงว่าจะใชเราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย
มาตรา 455 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
"เมื่อกล่าวไปเบื้องหน้าถึงเวลาซื้อขาย ท่านหมายความว่าเวลาซึ่งทำสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์ "
มาตรา 455 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
"เมื่อกล่าวไปเบื้องหน้าถึงเวลาซื้อขาย ท่านหมายความว่าเวลาซึ่งทำสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์ "
มาตรา
456
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
"การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักวานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ
วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป
ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
สัญญาจะซื้อหรือจะขาย
หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง
ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้รับผิดเป็นสำคัญ
หรือได้วางประจำไว้
หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว
จะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่
บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้
ให้ใช้บังคับถงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาทหรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย"
สััญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
ความหมายของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
คือ สัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา
455
ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
"เมื่อกล่าวต่อไปเบื้องหน้าถึงเวลาซื้อขาย
ท่านหมายความว่าเวลาซึ่งทำสัญญาซื้อขายสำเร็จสมบูรณ์"
ในความหมายของกฎหมาย หมายถึง "สัญญาซื้อขายซึ่งคู่กรณีได้ตกลงกันเสร็จสิ้นในสาระสำคัญของสัญญาซื้อขายทุกเรื่องแล้วไม่มีอะไรที่จะต้องดำเนินการอีก
แม้แต่การทำตามแบบของกฎหมาย
อีกนัยหนึ่งคือ สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
หมายถึง "สัญญาที่คู่กรณีทำความตกลงเสร็จเด็ดขาดแล้วมิใช่สัญญาซื้อขายที่มีการโอนกรรมสิทธิ์เด็ดขาดแต่อย่างใด" 3
ศาสตราจารย์
ดร.วิษณุ
เครืองาม กล่าวว่าคำว่า "สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด หมายถึงสัญญาที่ทำเสร็จบริบูรณ์แล้ว
ความสำเร็จบริบูรณ์หรือความเสร็จเด็ดขาดของสัญญาซื้อขายอยู่ที่การกระทำสัญญา
หรือการทำความตกลงซื้อขายโดยมีคำเสนอและคำสนองถูกต้องตรงกัน
ส่วนการปฎิบัติตามสัญญาของคู่กรณีคือ
การโอนกรรมสิทธิ์ก็ดี
การชำระราคาก็ดี
อาจทำภายหลังที่ได้ทำสัญญาสำเร็จ" 4
ลักษณะสำคัญของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
1)
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
หมายถึง สัญญาสำเร็จสำเร็จบริบูรณ์
ตามที่ระบุในมาตรา 455
ป.พ.พ.
5
เกิดขึ้นเมื่อ
คำเสนอและคำสนอง ถูกต้องตรงกัน
กล่าวคือ
ผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายจนเป็นการแน่นอนแล้ว
2) สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
คือ
สัญญาที่คู่สัญญาทำการตกลงในสาระสำคัญของสัญญาซื้อขายเสร็จสมบูรณ์แล้วไม่ต้องการอะไรต่อไปอีกในภายภาคหน้า
3)
ทรัพย์สินที่ซื้อขายมีตัวตนอยู่แน่นอน
หมายความว่า "ทรัพย์สินที่จะทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกัน ต้องมีตัวตนแน่นอนว่าเป็นทรัพย์สินชนิดใด
และต้องมิใช่ทรัพย์สินในอนาคตหรือทรัพย์สินที่ผู้ขายยังไม่มีีกรรมสิทธิ์ในขณะทำสัญญาซื้อขายกัน" 6
4)
ผู้ขายมีสิทธิจะโอนกรรมสิทธิ์ไปยังผู้ซื้อได้ทันทีที่มีการตกลงทำสัญญากันโดยถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย7
กล่าวคือเมื่อสัญญานั้นเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มีผลสมบูรณ์
5)
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินได้โอนไปแล้วหรือไม่นั้น มิใช่ประเด็นที่จะนำมาพิจารณาว่าเป็นสัญญาซื้อขาดเสร็จเด็ดขาดหรือไม่
?ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่าคู่กรณีได้ตกลงกันเสร็จเด็ดขาดแล้วหรือยัง
ถ้าตกลงกันเสร็จเด็ดขาดในสาระสำคัญของสัญญาซื้อขายแล้ว
8
แม้กรรมสิทธิ์ยังไม่ได้โอนไปเพราะสัญญาตกเป็นโมฆะก็ดี
หรือเพราะมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ก็ดี
แม้ผู้ซื้อจะยังไม่ได้ชำระราคาทรัพย์สินหรือชำระแต่ยังไม่ครบถ้วน และแม้ผู้ขายจะไม่ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้ผู้ซื้อ
ก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดได้
ข้อสังเกต
1)
กรณีที่กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อนั้นความแตกต่างระหว่างสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกับสัญญาจะซื้อขายอยู่ตรงที่เจตนาของคู่กรณี
ถ้าคู่กรณีซื้อขายทรัพย์ตามที่ระบุไว่ในมาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่ทั้งสองฝ่ายมีเจตนาไม่ไปทำตามแบบคือทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ก็เป็น "สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (เพียงแต่สัญญาตกเป็นโมฆะ)
แต่ในทางกลับกันถ้าคู่กรณีมีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือจดเบียนในภายหน้าก็เป็น"สัญญาจะซื้อจะขาย"
9
2)
เมื่อสัญญานั้นเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดแล้วย่อมไม่เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
ไปในตัว ดังนั้นคู่สัญญาจะยกมาตรา
175
มาอ้างว่าสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่ตกเป็นโมฆะนั้นย่อมสมบูรณ์ในฐานะที่เป็นสัญญาจะซื้อขายย่อมไม่ได้
10
แบบของสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
แบบ
คือ "วิธีการสื่อเจตนา
สำหรับการซื้อขายโดยปกติแล้วก็เป็นไปตามหลักเสรีภาพในเรื่องแบบ
กล่าวคือคู่สัญญาจะตกลงกันด้วยวิธีการใดๆก็ได้
ดังนั้นสัญญาซื้อขายอาจะทำกันด้วยวาจา
ด้วยกิริยาอาการ
หรือด้วยลายลักษณ์อักษรก็ได้" 11 เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายกำหนดบังคับไว้โดยเฉพาะว่า
สัญญาซื้อขายทรัพย์สินบางประเภทที่จะต้องทำตามแบบเฉพาะที่กฎหมายกำหนด
มิฉะนั้นสัญญาซื้อขายดังกล่าวจะไม่ถูกรับรองให้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ได้แก่ กรณีทรัพย์สินที่ระบุไว้ใน มาตรา 456
วรรคหนึ่ง
ป.พ.พ.
1)
กรณีที่ตัวทรัพย์สินที่จะทำสัญญาซื้้อขายเสร็จเด็ดทรัพย์สินชนิดที่บัญญัติไว้ในมาตรา
456 วรรคหนึ่ง
แห่ง ป.พ.พ
มีข้อกำหนดเรื่องแบบคือต้อง
ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่พนักงาน(ณ
ที่ว่าการอำเภอเท่านั้น)
มิฉะนั้น
สัญญาจะมีผลจะเป็น "โมฆะ"
ซึ่งทรัพย์ที่ถูกบัญญัติไว้ใน
มาตรา 456วรรคหนึ่ง
แห่ง ป.พ.พ
ได้แก่
1.1 อสังหาริมทรัพย์
(มาตรา
139 แห่ง
ป.พ.พ.
) 12 เช่น
(1) ที่ดิน
(2) ทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร
(3) ทรัพย์อันประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน
(4) ทรัพย์สิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
(1) ที่ดิน
(2) ทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวร
(3) ทรัพย์อันประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน
(4) ทรัพย์สิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
1.2 สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่บัญญัติไว้ใน
ป.พ.พ.
มาตรา
456
วรรคหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วยเรือมีระวางตั้งแต่
5 ตันขึ้นไป
หรือซื่้อขายแพ และสัตรว์พาหนะ
(ตาม
พ.ร.บ.สัตว์พาหนะฯ
ประกอบด้วย ช้าง ม้า วัว ควาย
ลา ล่อ )
เท่านั้น
13
สำหรับการทำเป็นหนังสือในความหมายของมาตรา
456 วรรคหนึ่ง ป.พ.พ นั้น "มิใช่การทำสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเดียว ในหนังสือนั้นยังต้องประกอบด้วยเนื้อหาสาระที่สำคัญของสัญญาซื้อขายอย่างครบถ้วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคู่สัญญา การโอนกรรมสิทธิ์
การชำระราคา ตัวทรัพย์สินที่ซื้อขาย
เป็นต้น
และที่สำคัญที่สุดคือในหนังสือสัญญานั้นจะต้องมีลายมือชื่อของคู่สัญญาทุกฝ่ายครบถ้วน
ยิ่งไปกว่านั้นการทำเป็นหนังสือในความหมายของมาตรา
456 วรรคหนึ่ง ป.พ.พ ยังหมายถึง การทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
มิใช่การทำเป็นหนังสือระหว่างคู่กรณีด้วยกันเอง
และเมื่อมีการทำเป็นหนังสือเรียบร้อยแล้วก็จะต้องมีการจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ตามที่กฎหมายระบุไว้จึงจะถือว่าได้มีการทำตามแบบที่กฎหมาย" 14
2) กรณีที่ตัวทรัพย์สินที่จะทำสัญญาซื้้อขายเสร็จเด็ดขาดเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่วไป(นอกเหนือทรัพย์ที่ระบุไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา456 วรรคแรก) เช่น แหวน นาฬิกา มือถือ รถยนต์ การซื้อขายทรัพย์เหล่านี้ ไม่มีแบบในการซื้อขาย ดังนั้นแค่พูดตรงลงกันด้วยวาจาก็สามารถเกิดสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มีผลสมบูรณ์ขึ้นแล้ว ไม่มีหลักฐานก็ฟ้องบังคับคดีได้ เว้นแต่กรณีที่ตัวทรัพย์สินเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา ที่มีราคา 20,000 บาท หรือกว่า 20,000 บาทขึ้นไป มาตรา 456 วรรคสาม กำหนด ต้องมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี
การฟ้องร้องบังคับเกี่ยวกับสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
การฟ้องร้องบังคับให้เป็นไปตามสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในทรัพย์อสังหาริมทรัพย์
และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่บัญญัติไว้ใน
ป.พ.พ.
456 วรรคหนึ่ง
รวมถึงสังหาริมทรัพย์ธรรมดา
ที่มีราคา 20,000
บาท
หรือกว่า 20,000
บาทขึ้นไป
ตามมาตรา 456
วรรคสาม
ป.พ.พ
จะต้องมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ระบุไว้ใน
ตามมาตรา 456
วรรคสอง
จึงจะฟ้องบังคับคดีได้
1) หลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับผิดเป็นสำคัญ
หมายถึง
หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่อาจเกิดขึ้นโดยผู้ทำหลักฐานมิได้ตั้งใจ15 เช่น อาจเป็นจดหมาย
เป็นบันทึกความจำหรืออยู่ในลักษณะใดก็ได้
แต่ต้องมีข้อความเกี่ยวข้องหรือทำให้รู้ได้ว่าได้มีสัญญาซื้อขายเกิดขึ้น
2) วางประจำหรือการวางมัดจำ
ซึ่งเมื่อมีกรณีเช่นนี้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างสามารถฟ้องร้องซึ่งกันและกันได้
3) การชำระหนี้บางส่วนแล้ว
หมายถึง การชำระราคาหรือส่งมอบทรัพย์บางส่วน
(ซึ่งหมายความรวมถึง
ชำระหนี้ทั้งหมดด้วย16)
ตัวอย่างสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
ตัวอย่างที่
1
- นายเอตกลงซื้อบ้านและที่ดินจากนายบี นายบีตกลงขายในราคา 3,000,000 บาท
- แล้วนายเอกับนายบีได้ไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กรมที่ดินเรียบร้อย แล้ว โดยที่นายเอยังไม่ได้ชำระราคาให้กับนายบี และนายบีก็ไม่ได้ส่งมอบบ้านและที่ดินให้นายเอเข้าอยู่อาศัยแต่ประการใด
สรุป กรณีนี้ก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดมีผลสมบูรณ์และกรรมสิทธิ์โอนเรียบร้อยแล้วเพราะทำถูกต้องตามแบบแล้ว
ตัวอย่างที่
2
- หากข้อเท็จจริงจากตัวอย่างที่ 1 นายเอตกลงซื้อบ้านและที่ดินจากนายบี นายบีตกลงขายในราคา 3,000,000 บาท แต่ทำสัญญาด้วยวาจาเท่านั้น
- โดยนายเอได้ชำระราคาและนายบีได้ส่งมอบบ้านและที่ดินให้นายเอเข้าอยู่อาศัยพร้อมมอบโฉนดที่ดินให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ทั้งคู่ตกลงกันว่าไม่ต้องไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เนื่องจากไม่ต้องการเสียค่าธรรมเนียมและค่าภาษีต่างๆ
สรุป กรณีนี้ก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเช่นกับตัวอย่างที่ 1 แต่ต่างกันที่มีผลเป็นโมฆะและกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินยังไม่โอนไปยังเอ(ผู้ซื้อ)
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลา
สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ ถือ เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่งหนึ่ง
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 459
บัญญัติว่า
"ถ้าสัญญาซื้อขายมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาบังคับไว้
ท่านว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่โอนไปจนกว่าการจะได้เป็นไปตามเงื่อนไขหรือถึงกำหนดเงื่อนไขเวลานั้น”
1. เงื่อนไข
หมายถึง
เหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 182
บัญญัติว่า
"ข้อความใดอันบังคับไว้ให้นิติกรรมเป็นผลหรือสิ้นผลต่อเมื่อมีเหตุการณ์อันไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ในอนาคตข้อความนั้นเรียกว่าเงื่อนไข"
เงื่อนไขแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
"ข้อความใดอันบังคับไว้ให้นิติกรรมเป็นผลหรือสิ้นผลต่อเมื่อมีเหตุการณ์อันไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ในอนาคตข้อความนั้นเรียกว่าเงื่อนไข"
เงื่อนไขแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.1
เงื่อนไขบังคับก่อน
คือ นิติกรรมหรือสัญญานั้นจะมีผลต่อเมื่อเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว
1.2
เงื่อนไขบังคับหลัง
คือ นิติกรรมหรือสัญญานั้นจะสิ้นผลไปเมื่อเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว
"เงื่อนไขบังคับก่อน"
ในที่นี้
คือ เงื่อนไขในการที่ผู้ขายจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อตามมาตรา
459
ตีความได้ว่าเงื่อนไขในสัญญาซื้อขายก็คือ
มีสัญญาซื้อขายเกิดขึ้นตาม
453 แล้ว
และมีการตกลงกันเสร็จเด็ดขาดเป็นสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์ตามมาตรา
455
เพียงแต่มีเงื่อนไขใน"การประวิงเวลาการโอนกรรมสิทธิ์"17
ทำให้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปจนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จ
ในทำนองเดียวกัน
เงื่อนไขบังคับหลัง คือ
เงื่อนไขที่จะทำให้สัญญาซื้อขายเป็นอันระงับลงและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นอันกลับคืนไปสู่ผู้ขาย
เมื่อเงื่อนไขนั้นสำเร็จ
ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไข
จึงถือเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง
เพราะ
ไม่ต้องไปทำสัญญาที่สองหรือสัญญาใดเพิ่มเติมอีกเหมือนกับสัญญาจะซื้อขาย
เช่น สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน
นั้นตกลงกันเสร็จเด็ดขาดและทำทุกอย่างที่กฎหมายกำหนดเสร็จสิ้นแล้ว
(หมายรวมถึงการทำตามแบบนิติกรรมด้วย)
เหลือแค่รอให้โอนกรรมสิทธิ์เท่านั้นเพราะคู่สัญญาตกลงกันเองว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ภายหลังที่เงื่อนไขสำเร็จ
ไม่ใช่เพราะกฎหมายบังคับให้รอ
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่
127/2471
โจทย์ตกลงซื้อเครื่องโรงสีข้างโดยผ่อนใช้เงินแต่ตกลงกันว่า
เครื่องโรงสีข้าวยังเป็นของจำเลยจนกว่าโจทย์จะชำรำเงินครบถ้วน
สัญญานี้เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มีเงื่อนไขบังคับก่อน
2. เงื่อนเวลา
หมายถึง กำหนดเวลาที่ต้องมาถึงอย่างแน่นอน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 191
บัญญัติว่า
"นิติกรรมใดมีเงื่อนเวลาเริ่มต้นกำหนดไว้
ห้ามมิให้ทวงถามให้ปฎิบัติการตามนิติกรรมนั้นก่อนถึงเวลาที่กำหนด
นิติกรรมใดมีเงื่อนเวลาสิ้นสุดกำหนดไว้
นิติกรรมนั้นย่อมสิ้นผลเมื่อถึงเวลาที่กำหนด"
2.1
สัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนเวลาเริ่มต้น
คือ
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดซึ่งไม่อาจทวงถามให้ปฎิบัติการตามสัญญาได้ก่อนถึงกำหนดเงื่อนเวลา
18 (เทียบได้กับสัญญาซื้อขายเสร็ดเด็ดขาดที่มีเงื่อนไขบังคบก่อน)
2.2
สัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนเวลาสิ้นสุด
คือ
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดซึ่งมีข้อกำหนดเวลาให้สัญญาซื้อขายเป็นอันระงับลงและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเป็นอันกลับคืนไปสู่ผู้ขาย19
สััญญาจะซื้อขาย
ความหมายของสัญญาจะซื้อขาย
"สัญญาจะซื้อขาย" หรืออาจเรียกว่า
"สัญญาจะซื้อจะขาย"
คือ
สัญญาซื้อขายที่คู่สัญญาได้ตกลงผูกพันกันไว้ขั้นหนึ่งก่อนในวันนี้
เพื่อผูกพันว่าจะต้องไปทำตามแบบพิธีเพิ่มเติมอีกขั้นหนึ่งในวันหน้า
คือสุดท้ายก็ยังจะต้องไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่กันอีกในอนาคตนั่นเอง
เปรียบเทียบได้กับการทำสัญญาหมั้นที่จะผูกพันกันในวันนี้
เพื่อที่จะไปทำสัญญาสมรสผูกพันอย่างถาวรในอนาคต
(ศาสตราจารย์
ดร.วิษณุ
เครืองาม)
20
ลักษณะสำคัญของสัญญาจะซื้อขาย
1) มีการตกลงซื้อขายทรัพย์สินที่แน่นอน
(เหมือนสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด)
2) เป็นข้อตกลงซื้อขายทรัพย์ประเภทที่จะต้องไปทำตามแบบเพื่อให้กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อเท่านั้น ซึ่งหมายถึงทรัพย์ที่ระบุไว้ใน
มาตรา 456
วรรคแรก เท่านั้น
ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่ได้โอนไปยังผู้ซื้อในขณะที่กตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเพราะยังไม่ได้จัดทำตามแบบพิธีให้กรรมสิทธิ์โอนไป
ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่ได้โอนไปยังผู้ซื้อในขณะที่กตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเพราะยังไม่ได้จัดทำตามแบบพิธีให้กรรมสิทธิ์โอนไป
3) มีข้อตกลงกันว่า
ผู้ขายจะโอนกรรมสิทธิ์ไปยังผู้ซื้อในภายหลัง
โดยผูกพันตนว่าจะเป็นผู้จัดการโอนกรรมสิทธิ์ให้เมื่อทั้งผู้ขายและผู้ซื้อทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด
21 ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินยังไม่ได้โอนไปยังผู้ซื้อในขณะที่ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเพราะยังไม่ได้จำทำตามแบบพิธีให้กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อ
4)
สัญญาจะซื้อจะขายมีได้แต่เฉพาะในอสังหาริมทรัพย์
และสังหาริมทรัพย์ที่บัญญัติไว้ใน
ป.พ.พ.
456 วรรคแรก
ซึ่งประกอบด้วยเรือมีระวางตั้งแต่
5
ตันขึ้นไป
หรือซื่้อขายแพ และสัตรว์พาหนะ
(ตาม
พ.ร.บ.สัตว์พาหนะฯ
ประกอบด้วย ช้าง ม้า วัว ควาย
ลา ล่อ )
เท่านั้น
ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่กฎหมายกำหนดว่าการซื้อขายทรัพย์ประเภทเหล่านี้ต้องทำตามแบบแห่งนิติกรรมเท่านั้น
คือ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ให้เสร็จก่อนจึงจะเป็นสัญญาซื้อขายที่มีผลให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์โอนไปยังผู้ซื้อได้
สัญญาที่คู่สัญญาทำกันก่อนที่จะไปทำตามแบบในอนาคตจึงเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขาย
ซึ่งเป็นสัญญาที่ยังมิได้มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกัน
แต่มีผลผูกพันให้คู่สัญญาต้องกระทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไป
(ปรีชา
สุมาวงศ์)22
แต่เมื่อต่อมาทำตามแบบแล้วก็จะกลายเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดมีผลให้กรรมสิทธิ์โอนไป
การที่สัญญาจะซื้อจะขายในสังหาริมทรัพย์นั้นไม่สามารถมีได้
เพราะว่า "สัญญาจะซื้อจะขาย เป็นสัญญาที่มีข้อตกลงว่าจะไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กันในภายภาคหน้า" 23
แต่ในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์นั้นไม่มีกรณีที่คู่สัญญาจะต้องจะต้องดำเนินการทางทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่
ดังนั้นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ทั่วไปจึงมีได้เฉพาะในสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเท่านั้น
เมื่อคำเสนอตรงกับสนองในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ทั่วไปนั้นเกิดขึ้น
กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายกันย่อมโอนแก่กันในทันที
ตาม ป.พ.พ.มาตรา
458 เว้นแต่ จะเข้ากรณีของมาตรา
459
(หน่วงการโอนกรรมสิทธิ์)
หรือ
มาตรา 460
(ว.หนึ่ง
ทำการบ่งตัวทรัพย์ที่แน่นอน
ว.สอง
บ่งตัวทรัพย์ได้แล้วแต่ยังไม่รู้ราคา)
24
ข้อสังเกต
"สัญญาจะซื้อจะขาย" นั้นต้องพิจารณาถึงเจตนาของคู่กรณีว่าตั้งใจจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่กันในภายหลังหรือไม่?
-
หากไม่มีเจตนาดังกล่าวก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดแต่สัญญามีผลเป็นโมฆะ
-
หากมีเจตนาจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนในภายหลังแล้วก็เป็น สัญญาจะซื้อขาย
การฟ้องบังคับคดีเกี่ยวกับสัญญาจะซื้อขาย
สัญญาจะซื้อขาย
ตาม ป.พ.พ.
มาตรา 456 วรรค
2 "สัญญาจะซื้อหรือจะขาย
หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง
ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้รับผิดเป็นสำคัญ
หรือได้วางประจำไว้
หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว
จะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่"
กฎหมายได้กำหนดให้มีหลักฐานในการฟ้องคดีอันใดอันหนึ่งดังต่อไปนี้ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีแก่กันมิได้
การฟ้องร้องบังคับให้เป็นไปตามสัญญาจะซื้อขายที่เกิดขึ้นได้เฉพาะกับทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. 456 วรรคหนึ่ง นั้นต้องมีหลักฐานในการฟ้องบังคับคดีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
กฎหมายได้กำหนดให้มีหลักฐานในการฟ้องคดีอันใดอันหนึ่งดังต่อไปนี้ มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีแก่กันมิได้
การฟ้องร้องบังคับให้เป็นไปตามสัญญาจะซื้อขายที่เกิดขึ้นได้เฉพาะกับทรัพย์อสังหาริมทรัพย์ และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. 456 วรรคหนึ่ง นั้นต้องมีหลักฐานในการฟ้องบังคับคดีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
1)
หลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้รับผิดเป็นสำคัญ
หมายถึง
หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรที่อาจเกิดขึ้นโดยผู้ทำหลักฐานมิได้ตั้งใจ
25 เช่น อาจเป็นจดหมาย เป็นบันทึกความจำหรืออยู่ในลักษณะใดก็ได้ แต่ต้องมีข้อความเกี่ยวข้องหรือทำให้รู้ได้ว่าได้มีสัญญาซื้อขายเกิดขึ้น
2)
วางประจำหรือการวางมัดจำ คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต่างสามารถใช้หลักฐานข้อนี้ฟ้องร้องซึ่งกันและกันได้
3)
การชำระหนี้บางส่วนแล้ว
หมายถึง การชำระราคาหรือส่งมอบทรัพย์บางส่วน
(ซึ่งหมายความรวมถึง
ชำระหนี้ทั้งหมดด้วย)
26
ตัวอย่างที่
1
- ก. บอกขายที่ดินแปลงหนึ่งให้ ข. ซึ่ง ข.พอใจในที่ดินและราคาจึงตกลงซื้อและวางเงินมัดจำไว้ 5,000 บาท โดยตกลงซื้อขายกันเสร็จเด็ดขาดและไม่ต้องการที่จะไปทำตามแบบแต่อย่างใด
- วันรุ่งขึ้น ค. มาบอกขอซื้อที่ดินดังกล่าวกับ ก. โดยเสนอให้ราคาดีกว่า ก. ก็บอกปฎิเสธไม่ขายให้ ข. โดยอ้างว่า ข. จะบังคับอะไรกับ ก. ไม่ได้ เพราะข้อตกลงระหว่าง ก. และ ข. เป็นการตกลงซื้อขายกันแล้วเมื่อไม่ทำให้ถูกต้องตามแบบของกฎหมาย คือทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญานั้นก็เป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้
สรุป ข้ออ้างของ ก. ฟังไม่ขึ้น เพราะอย่างไรก็ตาม ก. และ ข. ได้ตกลงกันไว้แล้วว่าจะไปทำสัญญาซื้อขายกันให้ถูกต้องตามแบบของกฎหมายในอนาคต สัญญาระหว่าง ก. กับ ข. เป็นสัญญาจะซื้อหรือจะขาย ไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขายแต่อย่างใด เมื่อได้วางมัดจำไว้เช่นนี้ถือว่ามีหลักฐานในการฟ้องคดี
ข. ฟ้องบังคับให้ ก. จดทะเบียนโอนขายที่ดินได้ คือ การทำสัญญาซื้อขายให้ถูกต้องตามแบบของกฎหมายนั่นเอง
ตัวอย่างที่
2
จากคำพิพากษาฎีกาที่
656/2469
สัญญาขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ผู้ซื้อวางมัดจำ ชำระราคาบางส่วนแล้ว
ผู้ขายมอบทรัพย์ให้ผู้ซื้อ
สัญญาจะโอนภายหลัง
เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
ตัวอย่างที่
3
จากคำพิพากษาฎีกาที่
773/2490
จำเลยทำสัญญาขายเรือระวาง
19
ตัน
ให้โจทก์ โจทก์ได้ชำระราคาเรือแล้วบางส่วน
จำเลยได้มอบเรือให้โจทก์แล้วและตกลงจะไปโอนทะเบียนกันในวันหลัง
ดังนี้ เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
เพราะผู้ซื้อผู้ขายยังจะต้องปฎิบัติตามสัญญา
คือ จะต้องโอนทะเบียนกันอยู่
การแยกระหว่างสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
1)
หลักกรรมสิทธิ์
การแยกสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดโดยอาศัย
"หลักกรรมสิทธิ์"
เป็นตัวแบ่งแยกต้องพิจารณางาสกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นได้โอนไปแล้วหรือไม่
?
- หากสัญญาที่ทำเป็นผลให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโอนไปแล้ว สัญญานั้นเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
- หากสัญญาที่ทำยังไม่มีผลให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินโอนไป สัญญานั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
หมายเหตุ
สัญญาซื้อขายใดๆที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขบังคับก่อน
หรือเงื่อนเวลาเริ่มต้นนั้น แม้กรรมสิทธิในทรัพย์สินจะยังไม่โอนไปจนกว่าเงื่อนไขสำเร็จหรือถึงกำหนดเงื่อนเวลา ก็ถือเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดชนิดหนึ่ง เพราะ มีการตกลงกันทุกอย่างเสร็จสิ้น + มีสัญญาฉบับเดียว + ทำตามแบบแล้ว + เพียงแต่รอให้กรรมสิทธิ์เมื่อเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลานั้นสำเร็จ (เพราะคู่สัญญาตกลงกันเองว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ภายหลังที่เงื่อนไขสำเร็จ ไม่ใช่เพราะกฎหมายบังคับให้รอ)
2)
แบบ
การแยกสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดโดยอาศัย
"แบบ"
เป็นตัวแบ่งแยก
ต้องพิจารณาว่า
สัญญานั้นได้ทำตามแบบแล้วหรือยัง?
- หากทำแล้วสัญญานั้นก็เป็น "สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด”
- หากยังไม่ได้ทำตามแบบสัญญานั้นก็เป็นเพียง "สัญญาจะซื้อจะขาย”
3)
เจตนา
- หากสัญญาที่ทำนั้น คู่สัญญาไม่ได้มีเจตนาจะทำอะไรกันอีก กล่าวคือ ต้้องการให้เสร็จเด็ดขาดกันเพียงเท่านั้น = สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
หมายเหตุ
ในสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดซึ่งอสังหาริมทรัย์
เมื่อคู่สัญญาไม่มีเจตนาจะไปทำอะไรกันอีก
คือไม่ต้องการทำตามแบบต้องการให้เสร็จสิ้นกันแต่เพียงเท่านั้น
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนั้นย่อมตกเป็นโฆมะไปตามมาตรา
456 วรรคหนึ่ง
ป.พ.พ.
- หากคู่สัญญายังมีเจตนา ที่จะทำอะไรบางอย่างกันอยู่ (โดยปกติสิ่งที่จำเป็นต้องทำกันต่อไปอีก มักเป็นเรื่องการที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่สำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ที่ระบุไว้ใน มาตรา 456 วรรคหนึ่ง ป.พ.พ. นั่งเอง) = สัญญาจะซื้อขาย
ตัวอย่างเปรียบเทียบระหว่างสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและสัญญาจะซื้อจะขาย
สัญญาซื้อขายอสังหริมทรัพย์ สามารถแบ่งเป็น2 กรณีคือ 1)สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และ 2) สัญญาจะซื้อจะขาย
- กรณีสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดซึ่งอสังหาริมทรัพย์
ตามกฎหมายต้องทำเป็นหนังสือสัญญานี้จะมีผลสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อ
ทำการจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ที่ดิน
ซื้อมีผลเป็นการโอนที่ดินทันที่เมื่อทำการจดทะเบียนที่ดิน
หากว่าซื้อขายกันโดยไม่ได้ทำการจดทะเบียนแล้ว
ผลทางกฎหมายจะถือว่าเป็นโมฆะ
ไม่มีผลผูกพันทันที
หากมีการชำระเงินกันแล้ว
ก็ต้องคืนเงินกันไป
- กรณีสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งอสังหาริมทรัพย์
คือ สัญญาซื้อขายที่ดินเหมือนกับข้อแรก
แต่กำหนดว่าจะไปโอนที่ดินกันในภายหลังจากวันที่ทำสัญญา
สัญญาจะซื้อจะขายนั้นกฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องทำสัญญาเป็นหนังสืออย่างเดียว
เพราะหากว่ามีการวางมัดจำ
หรือการชำระหนี้บางส่วนก็สามารถฟ้องร้องกันได้ตามกฎหมาย
เช่นหากว่าไม่ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหนังสือ
แต่ผู้ซื้อได้วางมัดจำไว้บางส่วนส่งมอบให้แก่ผู้ขายแล้ว
ถึงเวลานัดโอนที่ดิน
ผู้ขายไม่ยอมไปโอนที่ดิน
กรณีนี้แม้ว่าจะไม่มีการทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายก็ตาม
แต่เมื่อมีการวางมัดจำ
ก็สามารถฟ้องร้องให้ผู้ขายโอนที่ดินได้
แต่อย่างไรก็ตาม
หากเราทำสัญญาจะซื้อจะขายไว้ก็ย่อมเป็นการปกป้องสิทธิของเราได้ดีกว่าแน่นอนครับ
เพราะในการพิสูจน์ในชั้นศาลหากมีหลักฐานย่อมได้เปรียบกว่า
ตัวอย่างที่ 2
- กรณีสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดซึ่งอสังหาริมทรัพย์
ก
ขายบ้านให้ ข ในราคา 2
ล้านบาท
โดยตกลงซื้อขายกันด้วยวาจาไม่ได้ทำหนังสือใดๆทั้งสิ้น
ข
ชำระหนี้ให้ ก ไป ล่วงหน้า
1 ล้านบาท
และบอกว่าจะจ่ายอีกเงินครึ่งหนึ่งที่เหลือให้
ก ภายหลังที่ได้รับมอบบ้านแล้ว
ก ตกลงว่าจะนำกุญแจบ้านมาให้
ข อีก 1
สัปดาห์
ต่อมาวันพรุ่งนี้ปรากฎว่าไฟไหม้บ้านที่ซื้อขายกันเสียหายทั้งหลัง
คำถาม ก จะเรียกเงินค่าบ้านที่
ข ค้างชำระไว้จำนวน 1
ล้าน
ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ?
ตอบ ไม่ได้ เพราะสัญญาซื้อขายบ้านเป็น
"สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด"
ที่มีผลเป็น
''โมฆะ"
ไม่การโอนกรรมสิทธิ์เกิดขึ้น
ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในบ้านยังเป็นของ
ก อยู่ สรุปคือ ข ไม่ต้องจ่ายเงินที่ค้างชำระและเรียกเงินที่จ่ายไปแล้ว
1 ล้านบาทคืนจาก
ก ได้
- กรณีสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ
A
ขายวัวให้กับ
B ในราคา
20000 บาท
Bชำระราคาทั้งหมดแล้ว
และ A
ก็ส่งมอบวัวให้
B เรียบร้อย
เพียงแต่ทั้งสองคนตกลงจะไปโอนตั๋วรูปพรรณในวันพุธหน้า
คำถาม ถ้า A
(ผู้ขาย)
ไม่ไปโอนตั๋วรูปพรรณ
B (ผู้ซื้อ)
จะฟ้องบังคับให้
A
โอนตั๋วรูปพรรณให้ได้หรือไม่?
ตอบ ได้ เพราะมีหลักฐานในการฟ้องคดีตาม
มาตรา 456
วรรคสอง
นั่นก็คือ ชำหนี้บางส่วนแล้ว
เพราะ B
ผู้ซื้อชำระเงินให้
Aผู้ขาย
และ Aส่งมอบทรัพย์ให้
B เรียบร้อยแล้ว
การทราบความแตกต่างระหว่างสัญญาจะซื้อขายและสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดมีประโยชน์อย่างไร?
1) การทราบถึงประเภทของสัญญาซื้อขายทำให้ทราบถึงความแตกต่างในเรื่องแบบของสัญญาแต่ละประเภท ทำให้คู่สัญญาทราบว่าในสัญญาแต่ละประเภทจะต้องปฎิบัติตามแบบของสัญญาหรือไม่อย่างไร
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษถ้าเป็น สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ตองมีการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
แต่ถ้าเป็นสัญญาจะซื้อขายไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่28 คู่สัญญาเพียงแต่ทำหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อผู้รับผิดเป็นสำคัญหรือวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนเป็นอันเพียงพอแล้ว
เมื่อจะไปโอนกรรมสิทธิ์กันในภายหลังจึงค่อยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
2) ทำให้ทราบถึงระดับความสำคัญในเรื่องแบบของสัญญาแต่ละประเภท
ในกรณีซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ย่อมตกเป็นโมฆะ แต่สัญญาจะซื้อขายนั้น
ไม่มีแบบ พูดด้วยวาจาก็สมบูรณ์
และแม้ไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือหรือวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนสัญญาก็ไม่เป็นโมฆะ
เพียงแต่ฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้เท่านั้น
ดังที่ได้ศึกษามาข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่า สำหรับสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนั้น แบบของนิติกรรม มีความสำคัญมากเพราะกฎหมายกำหนดแบบและบังคับให้ทำตามแบบ สัญญาดังกล่าวถึงจะมีผลบังคับใช้ได้ ในทางตรงกันข้ามสัญญาจะซื้อจะขายไม่ต้องทำตามแบบก็บังคับใช้ได้ หลักฐานในการฟ้องบังคับคดีต่างหากที่คู่สัญญาควรให้ความสำคัญมากกว่า
ดังที่ได้ศึกษามาข้างต้นจะเห็นได้ชัดว่า สำหรับสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนั้น แบบของนิติกรรม มีความสำคัญมากเพราะกฎหมายกำหนดแบบและบังคับให้ทำตามแบบ สัญญาดังกล่าวถึงจะมีผลบังคับใช้ได้ ในทางตรงกันข้ามสัญญาจะซื้อจะขายไม่ต้องทำตามแบบก็บังคับใช้ได้ หลักฐานในการฟ้องบังคับคดีต่างหากที่คู่สัญญาควรให้ความสำคัญมากกว่า
หมายเหตุ
การซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในสังหาริมทรัพย์ทั่วไป ไม่มีแบบ ไม่ต้องมีหลักฐานก็ฟ้องบังคับคดีได้
ยกเว้นถ้าราคาสังหาริมทรัพย์นั้น มีราคา 20000 บาท หรือ มากกว่านั้นขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใด ตาม ม. 456 วรรคสอง ป.พ.พ. มิฉะนั้นฟ้องบังคับคดีไม่ได้
การซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในสังหาริมทรัพย์ทั่วไป ไม่มีแบบ ไม่ต้องมีหลักฐานก็ฟ้องบังคับคดีได้
ยกเว้นถ้าราคาสังหาริมทรัพย์นั้น มีราคา 20000 บาท หรือ มากกว่านั้นขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใด ตาม ม. 456 วรรคสอง ป.พ.พ. มิฉะนั้นฟ้องบังคับคดีไม่ได้
3) การชี้ชัดความแตกต่างของสัญญาทั้งสองประเภทนี้เป็นประโยชน์ต่อการวินิจฉัยของศาลเมื่อเกิดการฟ้องร้องบังคับคดี
ตัวอย่างเช่น
เมื่อมีการฟ้องร้องกันขึ้นว่าทำสัญญาซื้อขายที่ดินกันแล้วแต่ผู้ขายไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ผู้ซื้อหรือผู้ซื้อไม่ยอมชำระราคาให้ผู้ขาย
จำเลยหรือผู้ที่ผิดสัญญามักอ้างว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
แต่ด้วยเหตุที่ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
สัญญาจึงตกเป็นโมฆะและไม่มีมูลหนี้ต้องชำระแก่กัน
ซึ่งเป็นการปฎิเสธของคู่กรณีฝ่ายที่ผิดสัญญาเพื่อให้ตัวเองพ้นจากความรับผิดนั่นเอง
ทั้งที่ความจริงแล้วสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างกันอาจเป็นสัญญาจะซื้อขายก็ได้
และหากเป็นอย่างนั้นคู่กรณีฝ่ายที่ผิดสัญญาก็ยังต้องอาจถูกฟ้องบังคับให้ปฎิบัติตามสัญญาได้
(หากผู้ฟ้องมีหลักฐาน
1 ใน
3
ตามมาตรา
456
วรรคสอง ป.พ.พ.)
ศาลจึงต้องวินิจฉัยก่อนว่าสัญญานี้เป็นสัญญาประเภทใดกันแน่
4) ทำให้ทราบถึงผลของสัญญาทั้งสองประเภทนี้
จะเห็นความแตกต่างได้ว่า สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ขาย ผลคือ สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดก่อให้เกิดทรัพยสิทธิ ส่วนสัญญาจะซื้อขายเป็นเพียงสัญญาเบื้องต้น ผลคือ สัญญาจะซื้อขายก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ29
จะเห็นความแตกต่างได้ว่า สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ขาย ผลคือ สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดก่อให้เกิดทรัพยสิทธิ ส่วนสัญญาจะซื้อขายเป็นเพียงสัญญาเบื้องต้น ผลคือ สัญญาจะซื้อขายก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ29
กล่าวคือ
สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อแล้วย่อมก่อให้เกิดทรัพยสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น
และทำให้ผู้ซื้อมีสิทธิ ตามมาตรา
1336 คือ
"ภายในบังคังแห่งกฎหมายเจ้าของกรรมสิทธิ์ใช้สอยจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้นกับทั้งสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์นั้น
โดยมิชอบด้วยกฎหมาย”
ในทางตรงกันข้ามสัญญาจะซื้อขาย
ไม่ก่อให้เกิดทรัพยสิทธิใดๆ
จะมีก็แต่บุคคลสิทธิคือสิทธิเรียกร้องระหว่างคู่สัญญาเท่านั้น
และกรรมสิทธิ์จะไม่มีทางโอนไปยังผู้ซื้อเด็ดขาดจนกว่าจะได้ไปทำตามแบบของกฎหมายให้เรียยบร้อย
การทำตามแบบกฎหมายถือว่าก่อให้เกิดสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในท้ายที่สุด
บรรณานุกรม
จำปี
โสถิพันธ์ .
คำอธิบายกฎหมายลักษณะซื้อขาย
แลกเปลี่ยน ให้
.พิมพ์ครั้งที่
2
. กรุงเทพฯ
:
วิญญูชน
,
2546 .
วิษณุ
เครืองาม .
คำอธิบายกฎหมายว่าด้วย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
.
พิมพ์ครั้งที่
7
. กรุงเทพฯ
:
สำนักพิมพ์นิติบรรณการ
,
2540 .
บอร์ด212คาเฟ่ . ประเภทของสัญญาซื้อขาย[Online] . แหล่งที่มา :
บอร์ด212คาเฟ่ . ประเภทของสัญญาซื้อขาย[Online] . แหล่งที่มา :
http://board.212cafe.com/FreeWebboardmsulaw/view/4f0b1b37846567b8220438a9
[15
กรกฎาคม
2556]
พรชัย
สุนทรพันธุ์ .
วิชาเอกเทศสัญญญา1ส่วนที่
1
. กรุงเทพฯ
:
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
,
2553 .
สมยศ
เชื้อไทย .
หลักกฎหมาย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้ .
พิมพ์ครั้งที่
5 .
กรุงเทพฯ
:
วิญญูชน
,
2543 .
สัญญาซื้อขายกับสัญญาจะซื้อจะขาย[Online]
. แหล่งที่มา
:
http://thaicivillaws.blogspot.com/2012/06/blog-post_4370.html
[15 กรกฎาคม
2556]
วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม
.
บทท่ี
๔ สัญญาซื้อขาย [Online]
. แหล่งที่มา :
http://km.mvc.ac.th/files/1103221212541516_11032410102341.pdf
[15 กรกฎาคม
2556]
1 จำปี
โสถิพันธ์ ,
คำอธิบายกฎหมายลักษณะซื้อขาย
แลกเปลี่ยน ให้ ,
พิมพ์ครั้งที่
2
(กรุงเทพฯ
:
วิญญูชน
,
2546) , หน้า
38
.
2 วิษณุ
เครืองาม ,
คำอธิบายกฎหมายว่าด้วย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
7
(กรุงเทพฯ
:
สำนักพิมพ์นิติบรรณการ
,
2540) หน้า
59
.
3 สมยศ
เชื้อไทย ,
หลักกฎหมาย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
5
(กรุงเทพฯ
:
วิญญูชน
,
2543) , หน้า
33
.
4 พรชัย
สุนทรพันธุ์,
วิชาเอกเทศสัญญญา 1 ส่วนที่
1
(กรุงเทพฯ
:
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
,
2553) , หน้า45-46
.
5 พรชัย
สุนทรพันธุ์,
วิชาเอกเทศสัญญญา 1 ส่วนที่
1
(กรุงเทพฯ
:
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
,
2553) , หน้า49
.
6 พรชัย
สุนทรพันธุ์,
วิชาเอกเทศสัญญญา 1 ส่วนที่
1
(กรุงเทพฯ
:
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
,
2553) , หน้า47
.
7 พรชัย
สุนทรพันธุ์,
วิชาเอกเทศสัญญญา 1 ส่วนที่
1
(กรุงเทพฯ
:
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
,
2553) , หน้า49
.
8 สมยศ
เชื้อไทย ,
หลักกฎหมาย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
5
(กรุงเทพฯ:
วิญญูชน
,
2543) , หน้า
34.
9 สมยศ
เชื้อไทย ,
หลักกฎหมาย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
5
(กรุงเทพฯ:
วิญญูชน
,
2543) , หน้า
35
.
10 สมยศ
เชื้อไทย ,
หลักกฎหมย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
5
(กรุงเทพฯ:
วิญญูชน
,
2543) , หน้า
35
.
11 จำปี
โสถิพันธ์ ,
คำอธิบายกฎหมายลักษณะซื้อขาย
แลกเปลี่ยน ให้ ,
พิมพ์ครั้งที่
2
(กรุงเทพฯ:วิญญูชน
,2546)
, หน้า
60
.
12 พรชัย
สุนทรพันธุ์,
วิชาเอกเทศสัญญญา 1 ส่วนที่
1
(กรุงเทพฯ
:
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
,
2553) , หน้า107
.
13 พรชัย
สุนทรพันธุ์,
วิชาเอกเทศสัญญญา 1 ส่วนที่
1
(กรุงเทพฯ
:
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
,
2553) , หน้า
107.
14 จำปี
โสถิพันธ์ ,
คำอธิบายกฎหมายลักษณะซื้อขาย
แลกเปลี่ยน ให้ ,
พิมพ์ครั้งที่
2
(กรุงเทพฯ:วิญญูชน
,2546)
, หน้า
61
.
15 จำปี
โสถิพันธ์ ,
คำอธิบายกฎหมายลักษณะซื้อขาย
แลกเปลี่ยน ให้ ,
พิมพ์ครั้งที่
2
(กรุงเทพฯ:วิญญูชน
,2546)
, หน้า
88
.
16 สมยศ
เชื้อไทย ,
หลักกฎหมาย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
5
(กรุงเทพฯ:
วิญญูชน
,
2543) , หน้า26
.
17 บอร์ด212คาเฟ่
,
ประเภทของสัญญาซื้อขาย
[Online]
, แหล่งที่มา
:
http://board.212cafe.com/FreeWebboardmsulaw/view/4f0b1b37846567b8220438a9[15
กรกฎาคม
2556]
18 วิษณุ
เครืองาม ,
คำอธิบายกฎหมายว่าด้วย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
7
(กรุงเทพฯ
:
สำนักพิมพ์นิติบรรณการ
,
2540) หน้า
79
.
19 วิษณุ
เครืองาม ,
คำอธิบายกฎหมายว่าด้วย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
7
(กรุงเทพฯ
:
สำนักพิมพ์นิติบรรณการ
,
2540) หน้า
80
.
20 พรชัย
สุนทรพันธุ์,
วิชาเอกเทศสัญญญา1ส่วนที่
1
(กรุงเทพฯ
:
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
,
2553) , หน้า
68
.
21 สมยศ
เชื้อไทย ,
หลักกฎหมาย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
5
(กรุงเทพฯ:
วิญญูชน
,
2543) , หน้า28
.
22 พรชัย
สุนทรพันธุ์,
วิชาเอกเทศสัญญญา1ส่วนที่
1
(กรุงเทพฯ
:
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
,
2553) , หน้า
67
.
23 พรชัย
สุนทรพันธุ์,
วิชาเอกเทศสัญญญา1ส่วนที่
1
(กรุงเทพฯ
:
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
,
2553) , หน้า
67
.
24 วิทยาลัยอาชีวศึกษามหาสารคาม
,
บทท่ี
๔ สัญญาซื้อขาย [Online]
, แหล่งที่มา
: http://km.mvc.ac.th/files/1103221212541516_11032410102341.pdf
[15 กรกฎาคม
2556]
25 จำปี
โสถิพันธ์ ,
คำอธิบายกฎหมายลักษณะซื้อขาย
แลกเปลี่ยน ให้ ,
พิมพ์ครั้งที่
2
(กรุงเทพฯ:วิญญูชน
,2546)
, หน้า
88
.
26 สมยศ
เชื้อไทย ,
หลักกฎหมาย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
5
(กรุงเทพฯ:
วิญญูชน
,
2543) , หน้า26
.
27 สัญญาซื้อขายกับสัญญาจะซื้อจะขาย[Online]
, แหล่งที่มา
:
http://thaicivillaws.blogspot.com/2012/06/blog-post_4370.html [15
กรกฎาคม
2556]
28 วิษณุ
เครืองาม ,
คำอธิบายกฎหมายว่าด้วย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
7
(กรุงเทพฯ
:
สำนักพิมพ์นิติบรรณการ
,
2540)หน้า
89
.
29 วิษณุ
เครืองาม ,
คำอธิบายกฎหมายว่าด้วย
ซื้อขาย แลกเปลี่ยน ให้
,
พิมพ์ครั้งที่
7
(กรุงเทพฯ
:
สำนักพิมพ์นิติบรรณการ
,
2540) หน้า
91
.
โปรโมชั่น "สกรีนเสื้อ ไม่มีขั้นต่ำ"
ตอบลบรับสกรีนเสื้อ ตัวเดียวเราก็ทำ
ราคาเริ่มต้นเพียง 149 บาท เท่านั้น ด่วนๆ มีจำนวนจำกัด
สกรีนเสื้อยิดคลิกเลย | สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
Casino Review, Bonus, Games, Banking, Security, Customer Support
ตอบลบCasino is 영천 출장안마 operated by 대전광역 출장마사지 Playtech, and it offers 목포 출장마사지 many casino games. Here's a look at 양산 출장마사지 the games offered. 구미 출장마사지 Casino. Playtech.